คืบจับค้ากามเด็ก จ.สุราษฎร์ฯ ‘นักสิทธิเด็ก’ จี้ พม.กอบกู้ชื่อเสียงตกต่ำ สั่งรองอธิบดีกรมเด็ก-จนท.พัวพัน ออกจากราชการไว้ก่อน ห่วงอำนาจมืดคุกคามเด็กและครอบครัว

จากกรณี ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) พร้อมตำรวจ ภ.จว.สุราษฎร์ธานี และ สภ.ขุนทะเล ได้จับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายค้ามนุษย์ ที่นำเด็กมาแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ซึ่งพบผู้ต้องหาเป็นทหาร แพทย์ ลูกอดีตนักการเมือง

อีกทั้งพบว่าข้าราชการระดับสูงระดับรองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้โทรศัพท์เข้ามาสั่งการหัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้เกลี้ยกล่อมเด็กผู้เสียหายให้การช่วยเหลือผู้ต้องหา

และพบว่าเจ้าหน้าที่ในบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี) รายหนึ่ง มีพฤติกรรมใช้ไม้ทุบตีเด็กผู้เสียหาย เพื่อให้เด็กให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ใช้บริการ ซึ่งตำรวจเตรียมดำเนินคดีนั้น

ล่าสุด วันที่ 5 พฤษภาคม นางทิชา ณ นคร ที่ปรึกษามูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงข่าวดังกล่าวว่า หลายปีก่อนเคยมีน้องๆ เอ็นจีโอและเจ้าหน้าที่ พม.มาปรับทุกข์ ขอคำปรึกษากรณีผู้เสียหาย(ต่างชาติพันธุ์)ในคดีค้ามนุษย์ในความรับผิดชอบของ พม.นำเด็กๆ ผู้เสียหายไปตรวจกระดูกเพื่อประกอบหลักฐาน ยืนยันว่าผู้เสียหายอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ถูกผู้บริหารเกลี้ยกล่อมไม่ให้ข้อมูลกับตำรวจ เพื่อช่วยเหลือนายทุนค้ามนุษย์ แต่สุดท้ายทุกคนไม่พร้อมเผชิญหน้ากับผู้บริหาร

ข่าวแบบนี้ วันนี้กลับมาอีกครั้ง ถ้าถามว่าปรากฎการณ์นี้เล่าอะไร ก็เล่าว่าวัฒนธรรมอำนาจนิยมและระบบอุปถัมภ์ คือปัญหาที่กอดกันกลมและหยั่งรากลึกมาก ต้องรื้อ ต้องถอน ต้องลดบทบาท ต้องถ่วงดุลอำนาจ สรุปคือไม่ใช่แบบที่รัฐบาลประยุทธ์ฯ พร่ำบ่น ฉุนเฉียว สั่งการซ้ำซากแต่ไม่ได้ผลหรือรัฐบาลก่อนๆ ที่ไม่จริงจังพอๆ กัน

ฝากรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งเลยนะ ‘ปฏิรูประบบราชการ’ แต่อย่าลืมปฏิบัติการคู่ขนาน หากผิดจริงคนผิดต้องไม่ลอยนวลโดยเด็ดขาด ไม่ว่าเขาคือเด็กใคร ใครคือนาย

นางทิชายังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า กรณีที่ผู้บริหารสั่งการเพื่อให้ช่วยผู้ต้องหาไม่ใช่ครั้งแรก แต่ถูกผลิตซ้ำตลอดและมีทุกจังหวัด ยิ่งเวลาไปเจอรายชื่อว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คนในกระบวนการยุติธรรมซื้อบริการทางเพศเด็ก ก็จะมีความพยายามในการช่วยเหลือและสามารถเคลียร์ได้จบ ซึ่งที่ดิฉันรู้สึกแย่เลยคือ หน่วยงานที่มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองเด็ก ก็เป็นส่วนหนึ่งในคดีค้ามนุษย์ไปด้วย อย่างน้อยๆ คือไม่ทำให้คนผิดได้รับการลงโทษ

ทั้งนี้ เขาอาจไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ไปทำอะไรในค่ำคืนนั้น อาจมีรายชื่อเป็นผู้ซื้อบริการ ฉะนั้นต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม แม้จะปกป้องเด็กที่ต้นทางไม่ได้ แต่ต้องปกป้องกลางทาง ปลายทางที่เราเห็นตัวเด็ก ไม่ว่าคนที่อยู่ในลิสต์นั้นจะเป็นใคร

นางทิชา กล่าวอีกว่า และจากหลากหลายเหตุการณ์จับกุมค้าประเวณีเด็ก เราคิดว่าจะเกิดบทเรียนกับผู้ใหญ่ที่มีรสนิยมแบบนี้ว่าเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ แต่จากการพูดคุยกับคนทำงานช่วยเหลือเด็กผู้เสียหายและตัวผู้เสียหายเอง พบว่าไม่เลย นอกจากไม่ถอยแล้วยังผลิตซ้ำ มีคนจากหลากหลายวงการ กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดที่ซื้อบริการทางเพศเด็ก บางคนอายุ 13-14 ปี ส่วนตัวยังคิดว่าต้องการมาตรการแบบไหนถึงจะแก้ปัญหานี้ได้

“ฝากสังคมอย่ามองปัญหาการค้ามนุษย์เป็นแค่ความแรด ความหลงละเริงของเด็กๆ อย่าไปให้น้ำหนักเรื่องนี้ อาจใช่ว่าเด็กๆ อาจมีเป้าหมายที่เราคิดว่าเป็นเด็กใจแตก แต่จริงๆ เราต้องจัดการกับผู้ใหญ่ที่อาศัยความเปราะบางของเด็กๆ ให้ได้ สังคมอาจชอบไปมองเวลาเกิดเรื่องแบบนี้ คิดว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง ทำให้น้ำหนักมันเสีย จริงๆ ผู้ใหญ่ต่างหากที่ควรแม้แต่จะคิดเลย ที่เห็นเด็กแล้วใช้เงิน ใช้อำนาจ บารมี” นางทิชากล่าวทิ้งท้าย

ด้าน นายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว กล่าวว่า กรณีล่าสุดที่มีรายงานข่าวว่ารองอธิบดี ดย.กระทรวงการ พม. โทรสั่งเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กฯ เกลี้ยกล่อม หรือบังคับเหยื่อให้ช่วยผู้ต้องหาคดีซื้อบริการเด็ก ที่กำลังถูกดำเนินคดีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และกรณีมีการทำร้ายร่างกายเด็กนั้น ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากขึ้นไปอีก เพราะองค์กรที่มีหน้าที่คุ้มครองเด็กไม่ได้ทำหน้าที่ตามเจตนารมณ์ กลับใช้กฎหมายทำร้ายเด็กที่เป็นเหยื่อเพื่อปกป้องคนทำผิด

ดังนั้นตามหลักการควรให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อความโปร่งใสในการเข้าสู่กระบวนยุติธรรมตามขั้นตอน  และให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนภายในกระทรวง โดยมีบุคคลที่น่าเชื่อถือจากภายนอกเข้าร่วมด้วย ไม่ใช่ตั้งคนใกล้ชิดสนิทกันเข้ามาเพื่อช่วยเหลือกัน  

“หากความจริงเป็นไปตามข่าว นั่นแสดงว่าหน่วยหลักที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ กรมนี้ กระทรวงนี้ ถึงจุดติดลบแล้ว เมื่อการปกป้องคุ้มครองเด็กไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ขององค์กร คนที่ถือกฎหมายซึ่งต้องปกป้องคุ้มครองลูกหลานกลับใช้อำนาจทำร้ายซ้ำเด็กผู้เสียหาย เพื่อต้องการช่วยเหลือผู้กระทำด้วยความสัมพันธ์อันใดก็แล้วแต่ ย่อมเป็นความผิดชัดแจ้งซึ่งต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด บทลงโทษจึงต้องหนักกว่าคนทั่วไป ตอนนี้แม้เด็กจะอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว แต่ที่น่าห่วงคืออำนาจมืด อิทธิพลที่จะกระทำกับครอบครัว ญาติพี่น้องของเด็กๆ” นายชูวิทย์ กล่าว

เลขาธิการมูลนิธิเด็กฯ กล่าวต่อว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นประเด็นถึงการทำงานของ พม. ก่อนหน้านี้กรณีรองหัวหน้าพรรคการเมืองสังกัดเดียวกันกับนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พม.ก็ไม่แสดงความชัดเจนในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา มีเพียงท่าทีของปลัดพม.ที่ผ่านมาเท่านั้น ดังนั้นถึงเวลาที่นายจุติ จะต้องพิจารณาตัวเอง แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ขอให้ชาวพม.ลุกขึ้นยืนเพื่อความถูกต้อง ปัดกวาดบ้านตัวเอง อย่าเลือกความอยู่รอดด้วยการโอนอ่อนตามผู้มีอำนาจ เพราะการเมืองมาแล้วไปแต่จิตวิญญาณของคน พม.ต่างหากที่ต้องคงอยู่เพื่อผู้คนในสังคม

ที่มา-ภาพ : มติชนออนไลน์,ผู้จัดการออนไลน์

เผยแพร่-เรียบเรียง : กองข่าวเฉพาะกิจ สำนักข่าวอาชญากรรม ภาค 8

Back To Top